ดิดิเยร์ ดร็อกบา กองหน้าระดับตำนานของทีมชาติไอวอรีโคสต์ ของทีม เชลซี ที่ปัจจุบันเล่นให้ ฟีนิกซ์ ไรซิง สโมสรในลีกรองของสหรัฐอเมริกา ประกาศว่าจะแขวนสตั๊ดเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2018 ที่จะถึงนี้หลังเส้นทางการค้าแข้งที่มีมาอย่างยาวนาน
สำหรับ ดร็อกบา เจ้าตัวสร้างชื่ออย่างมากสมัยค้าแข้งกับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อช่วงปี 2004-12 และ 2014-15 รวมถึงการเป็นดาวซัลโวตลอดกาลของทีมชาติ ไอวอรีโคสต์ ด้วยการยิง 65 ประตู จาก 104 นัดอีกด้วย พร้อมพาทีม “ช้าสงดำ” ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก ในเวิลด์ คัพ 2006 ที่เยอรมันอีกด้วย
นอกจากนี้ ดร็อกบายังเคยเล่นให้ เลอ ม็องส์, แก็งก็อง, โอลิมปิก มาร์กเซย, เซี่ยงไฮ้ เสิ่นหัว, กาลาตาซาราย และ มอนทรีอัล อิมแพกต์ ก่อนจะมาลงเอยกับ ฟีนิกซ์ ไรซิง ซึ่งเจ้าตัวควบงานบริหารสโมสรในฐานะหนึ่งในเจ้าของทีม
ปัจจุบันเล่นให้ฟีนิกซ์ ไรซิง สโมสรในยูไนเต็ด ซ็อกเกอร์ ลีก ซึ่งเป็นลีกรองของสหรัฐอเมริกา เจ้าตัวยิงไป10 ลูกใน 14 นัดที่ลงสนาม และ เพิ่มสถิติการยิงประตูตลอดทั้งอาชีพเป็น 296 ลูก จาก 677 เกมส์
ดร็อกบา กล่าวว่า “ผมคิดว่าปีหน้าจะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของผม และ มันน่าจะถึงเวลาแล้วที่ผมต้องหยุด”
“ผมเองก็อยากต้องการที่จะมีเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง แม้ว่าจะยังเป็นเรื่องที่ดีที่ตอนนี้ผมก็ยังเล่นฟุตบอลได้อยู่ แต่ตอนนี้เมื่อผมอายุ 39 ปีแล้ว ก็ทำให้ผมเริ่มคิดในมุมกลับเหมือนกัน”
ดาวเตะชาวไอวอรี่ โคสต์สร้างชื่อของเขาในการค้าแข้งที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยการพา เชลซี กวาดแชมป์รายการเมเจอร์มา 12 ถ้วยตลอดช่วงเวลาการค้าแข้ง 9 ปีในลอนดอน และ ช่วยให้ทีม เชลซี กลับมาทวงบัลลังแชมป์ พรีเมี่ยร์ ลีก ครั้งแรกในรอบ 8 ปีของสโมสรอีกด้วย
สำหรับ ดร็อกบา ถือเป็นตำนานฮีโร่ของ แฟนบอล เชลซี อย่างแท้จริงหลังเจ้าตัวเคยยยิงลูกโทษเป็นประตูชัยให้กับทีมเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิก คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 2012 ก่อนจะหมดสัญญาต้องย้ายออกจากทีมในฤดูกาล 2014/2015
นอกจากผลงานในสนามแล้ว ดร็อกบายังมีอิทธิพลอย่างสูงต่อคนในชาติบ้านเกิดอีกด้วย โดยช่วงปี 2006 ในประเทศ ไอวอรี่โคสต์ ยังคงเป็นพื้นที่สีแดงที่เต็มไปด้วยความไม่สงบจากสงครามกลางเมือง หลังจากที่ดร็อกบา และ เพื่อนนักเตะเสร็จภารกิจจากเวิลด์ คัพ ดร็อกบา เดินทางกลับบ้านเกิด และ สร้างโครงบการยุติความรุนแรงให้ทุกผ่ายยอมวางอาวุธ คืนความสงบแก่ประเทศได้อีกด้วย